“ภาษาอังกฤษไม่ยากอย่างที่คิด แค่รู้ทริคทุกอย่างจบ!” นี่เป็นคำที่เราอยากให้ทุกคนจำเอาไว้เลยนะคะ หลายคนกลัวภาษาอังกฤษ แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ยังเป็นสิ่งที่ช่วยนำทางให้เราได้ความรู้ที่กว้างไกลขึ้น และยังทำให้เราได้งานที่หลากหลายขึ้นอีกด้วย ปัจจุบันนี้หลายบริษัทเลยนะคะที่เป็นบริษัทต่างชาติ และมักจะมีการสอบสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ (รวมถึงสอบสัมภาษณ์เข้ามหาวิทยาลัยบางที่ด้วยนะคะ) ซึ่งอาจจะสร้างความหนักใจให้เราไม่ใช่น้อย เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะมาแนะนำเทคนิคดีๆ ให้ทุกคนกันค่ะ
1. ตีโจทย์ให้แตก!
อะไรคือคำว่าตีโจทย์ให้แตก? ก่อนที่เราจะไปสัมภาษณ์นั้น อันดับแรกเราก็ต้องทำความเข้าใจกับที่ที่เราจะไปสัมภาษณ์ก่อนนะคะ อาธิเช่น ถ้าเราไปสัมภาษณ์บริษัทเกี่ยวกับการ์ตูน การพูดจาของเราก็ไม่ควรจะทางการเกินไปค่ะ เราอาจจะยิ้ม และทักทายอย่างเป็นกันเองกับผู้สัมภาษณ์ เช่น Hello หรือ Hi แต่ก็ไม่ควรจะใช้คำแสลงอย่างพวก Howdy นะคะ แต่ถ้าเราสมัครในบริษัทที่ต้องเป็นทในบริษัทที่มีความเป็นทางการหน่อยอย่างพวกโรงแรมหรือโรงเรียนเราอาจจะต้องเลือกคำทักทายกันหน่อยนะ อย่างเช่น
Good morning, my name is…
Good morning, I would like to introduce myself. … is my name
2. เลือก Adjective หนึ่งคำเพื่อบรรยายความเป็นตัวเรา!
ตัวตนเรานั่นแหละค่ะเป็นสิ่งที่เขาอยากจะเห็นมากที่สุด เราจะต้อง Present มันออกมาให้ตรงกับความเป็นเราจริงๆ นะคะ และแน่นอนว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือการเลือก Adjective สักคำมาบรรยาย แต่ Adjective ที่เราใช้นั้นควรเป็นสิ่งที่เป็นแง่บวกและเป็นทัศนคติมากกว่าลักษณะท่าทางนะคะ พวก Beautiful, Pretty, Cute, Slim หรือ Fat พวกนี้ตัดทิ้งกันไปได้เลย และหลังจากเลือก Adjective แล้วสิ่งต่อไปที่เราควรทำคือบรรยายมันออกมาให้เขาเห็นภาพค่ะ เรามาดูตัวอย่างกันเลยนะคะ
I am cordial. For me, the cordial person is someone who is kind, friendly and supportive. For having this characteristic, I think I’m a good fit for this company.
เอาให้คนฟังเห็นชัดไปเลยค่ะว่าเราเป็นคนแบบไหน และต้องมั่นใจที่จะพูดนะคะ ไม่ต้องกลัวว่าคำที่เราเลือกมานั้นมันจะดูสวยหรูเกินไป อย่าลืมว่าสิ่งที่องค์กรหรือบริษัทตามหาคือคนที่มั่นใจและพร้อมจะทำงานค่ะ
3. Show your passion!
ไม่มีบริษัทไหนอยากได้คนที่เอื่อยๆ เรื่อยๆ มาทำงานนะคะ เราจะต้องแสดงความต้องการที่จะอยากได้งานนั้นๆ หรืออยากจะเรียนในที่นั้นๆ ออกมา แต่ไม่ใช่ว่ามีแต่ Passion จนลืมจุดประสงค์นะคะ Passion ที่ว่านี้ควรจะมาพร้อมกับจุดประสงค์หรือ Objective แสดงให้เขาเห็นค่ะว่าเรานั้นมีทั้งความหลงใหลในงานและเป้าหมายในการพัฒนา บริษัทจะไม่เลือกคนที่เก่งที่สุดนะคะ แต่เขาจะเลือกคนที่พร้อมที่จะก้าวหน้ามากที่สุด พร้อมที่จะเรียนรู้มากที่สุดค่ะ มาดูตัวอย่างประโยคกันเลยดีกว่านะคะ
I would like to say that working with (ชื่อบริษัท) is my dream job. Your organization is reputable, secure and progressive. I aim to improve both of myself and the organization together.
ประโยคแบบนี้น่าจะเป็นคำตอบที่ HR อยากฟังมากกว่าประโยคที่แสดงแต่ Passion อย่างเดียวนะคะ
4. อย่าใช้ Adverb เยอะเกินไป
เพราะบางทีนั้นการพูดถูกแกรมม่าและใช้ศัพท์หรูหราก็ไม่จำเป็นเสมอไป เพราะบางทีคำจำพวก Adverb ก็อาจจะฟังดูเป็นคำฟุ่มเฟือยถ้าเราใช้มากเกินนะคะ ใช้แค่พองามควบคู่กับบางประโยคนั้นจะช่วยให้เราดูเป็นคนช่างพูด แต่ถ้ามากเกินไป…มันก็อาจจะดูเวิ่นเว้อค่ะ เรามาดูสิ่งที่เรียกว่าเวิ่นเว้อกันก่อนไปดูสิ่งที่เราควรพูดนะคะ
Hello, personally, my name is Betty. I, passionately, want to work here and I want the kindly good committee to, actually, accept me as your employee. The reason is, normally, because I have a passion enough.
แค่อ่านก็ดูปวดหัวแล้วใช่ไหมล่ะคะ? เรามาลองเปลี่ยนรูปแบบใหม่ให้กระชับกว่านี้กันดีกว่า
Hello, my name is Betty. I want to work here and hope that the committee will accept me as the employee. I have a passion for looking forward to working here.
แบบนี้นั้นจะดูตรงประเด็นมากกว่ากันเยอะเลยล่ะค่ะ ถ้าใครชอบติดพูดโดยใช้ Adverb บ่อยๆ เราก็ควรจะปรับหน่อยนะคะ เพราะอะไรที่มันเยอะเกินไปก็ไม่ได้ดีเสมอไปเนอะ
5. เช็ค Resume หรือ CV ให้พร้อมที่สุด
สิ่งนี้นั้นก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เราไม่ควรพลาดนะคะ เพราะ Resume นั้นจะเป็นเหมือนสิ่งที่สะท้อนตัวเราออกมาผ่านตัวหนังสือ เราไม่ควรจะใส่รายละเอียดเยอะเกินไปจนดูเป็นทางการมากๆ แต่เราก็ไม่ควรจะตกแต่งด้วยกราฟฟิคมากเกินไปจนแทบจะไม่มีเนื้อหาเช่นกัน เราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนนะคะว่าอะไรบ้างที่ควรจะอยู่ใน Resume เพราะถ้าเรายัดทุกอย่างลงไปมันคงจะไม่เวิร์คแน่นอน
สิ่งแรกที่ควรมีนั้นคือชื่อของเรา พร้อมเบอร์โทรัพท์ และอีเมลไว้ใช้ในการติดต่อ
สิ่งต่อมาที่เรามองข้ามไม่ได้เลยนั้นก็คือข้อมูลส่วนตัว ซึ่งตรงนี้แต่ละคนก็อาจจะใส่ไม่เหมือนกันนะคะ เราต้องพิจารณาดูว่าข้อมูลตรงนั้นมีอะไรที่เป็นประโยชน์ที่จะให้บริษัทรู้จักเราบ้าง ถ้าหากมันดูไม่ค่อยเกี่ยวข้องนักเราก็อาจจะต้องตัดทิ้งไป เช่นชื่อพ่อแม่หรือเลขประจำตัวประชาชนนั้นคงจะเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น
อีกสิ่งหนึ่งที่ทุกคนจะต้องใส่ใน Resume อย่างขาดไม่ได้เลยก็คือประสบการณ์หรือ Experience นั่นเองค่ะ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ที่ทำงานหรือที่โรงเรียนก็ควรจะใส่เหมือนกันให้หมด และทริคสำคัญคือเราควรจะใช้โครงสร้างประโยคให้เหมือนกันทั้งหมดค่ะ เอ…ยังไงน้า? มาดูตัวอย่างกันเลยค่ะ
Experiences
2013 I was a president of student council
2014 I was the leader of the campaign named “Global Warming Reduction”
2015 I was the exchange student at KMITL
หรืออาจจะใช้เป็นคำสั้นๆ ก็ได้นะคะ
Experiences
2013 President of Student Council
2014 Global Warming Reduction Campaign Leader
2015 Exchange Student at KMITL
การจัดเรียงรูปแบบนี้นั้นจะช่วยให้ Resume ของเราดูอ่านง่าย สบายตา และได้ใจความอีกด้วยนะคะ
และทั้งหมดนี้ก็คือทริคง่ายๆ สำหรับการสอบสัมภาษณ์และการจัดรูปแบบ Resume นะคะ ขอฝากไว้เป็นอย่างสุดท้ายว่าทุกคนจะต้องไม่กลัวภาษาอังกฤษเด็ดขาด! เพราะเมื่อไหร่ที่เรากลัวและไม่ยอมสู้กับมัน เราก็จะกลายเป็นคนที่หยุดนิ่งและไม่ก้าวหน้านะคะ ดังนั้น สู้ค่ะ!
คอมเมนต์ได้เลย!