สำหรับคนที่เรียนภาษาอังกฤษ อาจจะมีหลายอย่างที่จังเป็นต้องเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นการพูด การเขียน หรือว่าคำศัพท์ต่าง ๆ แต่ถึงอย่างนั้น เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยนะคะ และนี่ก็คือ 10 เกร็ดความรู้ภาษาอังกฤษที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนค่ะ

1. ภาษาอังกฤษเป็นภาษาเดียวที่ไม่มีสถาบันภาษากลางรับรอง

เราอาจจะเคยได้ยินว่ามีการเรียนการสอนและการจัดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษกันมากมาย แต่รู้กันหรือไม่ว่าในบรรดาภาษาต่างประเทศต่าง ๆ ในยุโรป มีเพียงภาษาอังกฤษเท่านั้นที่ไม่มีสถาบันกลางสำหรับภาษา ในขณะที่ประเทศฝรั่งเศสมี L’Academie Francaise ประเทศสเปนมี the Real Academia Espanola และภาษาเยอรมันมี the Rat fur deutsche Rechtshreibung

2. ขณะที่คุณอ่านบทความนี้อยู่ มีคนกำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่ถึง 1 พันล้านคน

ข้อมูลจาก British Council บอกว่าในปี 2000 มีคนเรียนภาษาอังกฤษสูงถึงหนึ่งพันล้านคน และในเวลานี้ก็คาดการณ์ว่าอาจจะสูงขึ้นด้วย

3. คำในภาษาอังกฤษจำนวน 96 ใน 100 มาจากเยอรมัน

เนื่องจากภาษาอังกฤษแบบเก่านั้นพัฒนามาจากภาษาเยอรมันซึ่งเข้ามาในประเทศอังกฤษนานมาแล้ว ในบรรดาคำพูดที่ใช้พูดกันในชีวิตประจำวันจึงมีรากมาจากภาษาเยอรมันแทบทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นคำว่า I, You, Go หรือว่า Eat ซึ่งเมื่อนานไปภาษาก็เปลี่ยนไปจนแทบจะจำไม่ได้เลยว่าเคยเป็นคำเยอรมันมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นคำศัพท์หรือว่าไวยากรณ์

4. คำที่ภาษาอังกฤษนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1066 เป็นภาษาลาติน

ถ้าเกิดว่าเคยเรียนภาษาอังกฤษมาก่อนจนคล่องแคล่ว และไปเรียนภาษาในยุโรปอย่างฝรั่งเศสหรือว่าสเปนได้ง่ายและไหลลื่นกว่าการเรียนภาษาเยอรมันแล้วล่ะก็ จงรู้ไว้ว่านั่นเป็นเพราะเมื่อสมัยที่อิตาลีกำลังเฟื่องฟูอย่างสูงสดในยุคศิลปะวิทยาการ แนวคิด ศิลปะ และองค์ความรู้ต่าง ๆ นั้นเข้ามาในประเทศอังกฤษผ่านภาษาฝรั่งเศส มันจึงนำคำศัพท์ใหม่ ๆ เข้ามาให้ด้วย แต่บางทีภาษาอังกฤษก็ไม่สามารถใช้คำของตัวเองอธิบายสิ่งใหม่ ๆ ที่รับเข้ามาได้หมด จึงต้องประดิษฐ์คำจากรากภาษาลาติน เป็นผลให้คำในภาษาอังกฤษที่มีรากจากภาษาลาตินเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

ดังนั้นอย่าตกใจไปเลย ที่ถึงแม้ภาษานี้จะอยู่ในตระกูลอินโด-ยูโรเปียนเหมือนกับภาษาเยอรมัน แต่ ณ เวลานี้กลับต่างกันอย่างลิบลับจนแทบใช้ฐานความรู้ภาษาอังกฤษไปต่อยอดภาษาเยอรมันแทบไม่ได้เลยสำหรับบางคน

5. ชนชั้นสูงในอังกฤษพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เป็นเวลากว่าศตวรรษ

เนื่องจากกษัตริย์วิลเลียมเข้ามาพิชิตอังกฤษได้ในปี 1066 แต่หมดความพยายามที่จะเรียนภาษาอังกฤษ และไม่ค่อยจะมีอารมณ์ชื่นชมผืนดินที่ยึดครองมาได้เท่าไรนัก เขาจึงส่งเหล่าขุนนางชาวฝรั่งเศสมาปกครองแทน เป็นเหตุให้ชนชั้นสูงในประเทศอังกฤษไม่พูดภาษาอังกฤษกันเลยเป็นเวลากว่าศตวรรษ แม้ว่าจะมีการพูดภาษาอังกฤษกันบ้าง แต่ก็ไม่ได้ถูกใช้เป็น First Language ของคนเหล่านี้

6. คำจากภาษาลาตินจึงฟังดูดีกว่าคำจากภาษาเยอรมันสำหรับภาษาอังกฤษ

ลองนึกถึงความแตกต่างของคำว่า House (มาจากภาษาเยอรมัน) กับคำว่า Mansion (มาจากภาษาฝรั่งเศส) ดูสิคะ หรือคำว่า starting กับคำว่า commencing ดู แล้วจะพบว่าภาษาอังกฤษนั้นมีคำไวพจน์เยอะมาก แต่ความแตกต่างของมันบ่งบอกแค่เพียงความเป็นทางการและความหรูหราของคำศัพท์เท่านั้น และศัพท์ที่หรูหรากว่า ก็มักจะเป็นศัพท์ที่มาจากภาษาลาติน (ร่วมรากกับภาษาฝรั่งเศส) เสมอ

7. แนวคิดเรื่องการสะกดคำ “ให้ถูกต้อง” ค่อนข้างใหม่มาก

เนื่องจากว่าภาษาอังกฤษไม่มีสถาบันภาษากลางอย่างภาษาอื่น ๆ การสะกดคำจึงมีหลากหลายมากเพราะไม่มีต้นแบบกำหนด (เหมือนอย่างราชบัณฑิตฯ ของเรา) จนกระทั่งชายที่ชื่อ Noah Webster มาสร้างความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่สำหรับการออกเสียงในภาษาอังกฤษ เมื่อช่วงศตวรรษที่ 17 ซึ่งมีการพิมพ์พจนานุกรมภาษาอังกฤษเป็นครั้งแรก ซึ่งก่อให้เกิดแนวคิดเรื่องการสะกดคำให้ถูกต้อง (ตามพจนานุกรม) ขึ้น ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นแม้แต่ชื่อนักเขียนอย่าง William Shakespeare ยังมีการสะกดหลายแบบมาก ๆ

8. มีชายคนหนึ่งเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบการเกิดขึ้นของการสะกดแบบอังกฤษ/การสะกดแบบอเมริกัน

หากว่าคุณรู้สึกไม่เข้าใจว่าทำไมคนอเมริกันถึงสะกด Program แทนที่จะสะกดว่า Programm (แบบอังกฤษ) แล้วล่ะก็ ต้องโทษชายคนนี้เลยค่ะ Noah Webster ชายคนเดียวกับที่ก่อกำเนิดพจนานุกรมภาษาอังกฤษเล่มแรกนั่นแหละ เพราะว่าเขาเสนอว่าภาษาอังกฤษนั้นเป็นภาษาของประเทศจ้าวอาณานิคมของอเมริกา ชนอเมริกันจึงไม่ควรไปใช้ตามแบบแผนแต่จงใช้  American English ภาษาอังกฤษแบบชนอเมริกันเองเพื่อเป็นการต่อต้านชนชั้นปกครองในประเทศอังกฤษนั่นเองค่ะ

9. –ize ไม่ใช่การเติมท้ายคำแบบอเมริกัน

แต่ถึงอย่างนั้นการเติมท้ายคำ (suffix) – ize กลับไม่ใช่ตัวบ่งชี้ความเป็น American English ออกจากความเป็น British English เลย เพราะคนที่เริ่มใช้คำเติมท้ายก่อนกลับเป็นชาวอังกฤษเสียเองที่ไม่ต้องการสะกดคำให้เหมือนกับภาษาฝรั่งเศสทุกประการจึงประดิษฐ์เจ้าคำเติมท้าย –ize ขึ้นมา

10. ภาษาอังกฤษจะเปลี่ยนไปอีกมากตลอดเวลาทั้งชีวิตของคุณ ทำใจไว้เลย!

ที่ผ่านมาทั้ง 9 ข้ออาจจะทำให้คุณท้อใจว่าภาษาอังกฤษนั้นช่างมีความเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องไม่จบไม่สิ้นสักที แต่ก็จงทำใจเถอะค่ะว่า ตลอดชีวิตของคุณมันจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงของภาษาอังกฤษอีกมากมายทีเดียว เพราะมันจะมีคำใหม่ ๆ เกิดขึ้นทุกวัน และยังมีการรวมกันของคำนั้นคำนี้อีกมากมาย รวมถึงการถ่ายเทคำและความหมายมาจากภาษาอื่นอีกด้วย ดังนั้นแล้ว ก็จงชื้นใจ (และสยิวสยองในใจ) ได้เลยว่าภาษาที่ยังไม่ตายอย่างภาษาอังกฤษนั้น จะยังคงเปลี่ยนแปลงและมีสิ่งใหม่ให้คุณเรียนรู้เพิ่มขึ้นในแต่ละวันอย่างแน่นอน

เห็นไหมคะว่า ในภาษาอังกฤษนั้นยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอีกมากที่หากเราได้เรียนรู้แล้วก็จะสามารถเข้าใจภาษามากขึ้นได้ การเรียนภาษาจึงไม่ควรจะเรียนเฉพาะความหมายของคำศัพท์หรือการจัดรูปประโยคเท่านั้น แต่ควรจะเรียนประวัติและพลวัตของภาษานั้น ๆ ด้วย เพื่อที่จะได้เข้าถึงและเข้าใจได้ภาษานั้นได้ลึกซึ้งขึ้นนะคะ

ขอบคุณที่มา: Oxford University Press

คอมเมนต์ได้เลย!